อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมนี้มักก่อให้เกิดฝุ่นละอองที่มีลักษณะเฉพาะและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานและสิ่งแวดล้อม ระบบ “Bag Filter” จึงเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในการดักจับฝุ่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีแนวทางดังนี้
การวิเคราะห์ลักษณะฝุ่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการเลือก “Bag Filter”
การเลือกระบบ “Bag Filter” ที่เหมาะสมเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ลักษณะของฝุ่นที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต
- ประเภทของฝุ่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
- ฝุ่นโลหะ: เกิดจากการตัด เจาะ และขัดชิ้นส่วนโลหะ เช่น ทองแดง อลูมิเนียม
- ฝุ่นพลาสติก: เกิดจากการขึ้นรูปและตัดแต่งชิ้นส่วนพลาสติก
- ฝุ่นเซรามิก: เกิดจากการผลิตชิ้นส่วนเซรามิกในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
- ฝุ่นสารกึ่งตัวนำ: เช่น ซิลิคอน แกลเลียมอาร์เซไนด์ จากกระบวนการผลิตชิป
- ฝุ่นสารเคมี: จากกระบวนการชุบและล้างแผ่นวงจร
- คุณสมบัติของฝุ่นที่ต้องพิจารณา
- ขนาดอนุภาค: ฝุ่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มักมีขนาดเล็กมาก (0.1-10 ไมครอน)
- ความหนาแน่น: ฝุ่นโลหะมักมีความหนาแน่นสูง ในขณะที่ฝุ่นพลาสติกมีความหนาแน่นต่ำ
- ความชื้น: บางกระบวนการอาจก่อให้เกิดฝุ่นที่มีความชื้นสูง
- ความเป็นกรด-ด่าง: ฝุ่นจากกระบวนการชุบอาจมีฤทธิ์กัดกร่อน
- ความไวไฟ: ฝุ่นบางประเภทอาจมีความไวไฟสูง เช่น ฝุ่นอลูมิเนียม
- การเลือก “Bag Filter” ที่เหมาะสม
- วัสดุของถุงกรอง: เลือกให้เหมาะกับประเภทของฝุ่น เช่น
- Polyester สำหรับฝุ่นทั่วไปที่ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน
- PTFE (Teflon) สำหรับฝุ่นที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือทนอุณหภูมิสูง
- ntistatic materials สำหรับฝุ่นที่มีความไวไฟสูง
- ขนาดรูพรุนของถุงกรอง: เลือกให้เหมาะกับขนาดอนุภาคของฝุ่น โดยทั่วไปจะใช้ถุงกรองที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับดักจับฝุ่นขนาดเล็กมาก (HEPA หรือ ULPA filters)
- รูปแบบของ Bag Filter: เช่น Pulse-jet, Reverse air, หรือ Shaker type ขึ้นอยู่กับปริมาณและลักษณะของฝุ่น
การออกแบบและติดตั้งระบบ “Bag Filter” สำหรับกระบวนการผลิตเฉพาะทาง
การออกแบบระบบ “Bag Filter” สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละกระบวนการผลิต ได้แก่
- การประยุกต์ใช้ในกระบวนการบัดกรี (Soldering) และการพิมพ์แผงวงจร
- ติดตั้งระบบดูดอากาศเฉพาะจุดที่เกิดควันบัดกรี
- ใช้ถุงกรองที่ทนความร้อนและสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กจากควันบัดกรี
- ออกแบบระบบให้สามารถกำจัดไอระเหยของสารฟลักซ์ได้ด้วย
- การดักจับฝุ่นจากกระบวนการตัดและเจาะแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB)
- ใช้ระบบ “Bag Filter” แบบ Pulse-jet ที่สามารถทำความสะอาดถุงกรองได้อย่างต่อเนื่อง
- ติดตั้งระบบดูดฝุ่นที่มีความเร็วลมสูงเพื่อดักจับเศษฝุ่นที่เกิดจากการตัดและเจาะ
- ออกแบบระบบให้สามารถแยกฝุ่นโลหะและฝุ่นพลาสติกเพื่อการรีไซเคิล
- การบำบัดอากาศในกระบวนการเคลือบและกัดกร่อนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- ใช้วัสดุถุงกรองที่ทนต่อสารเคมีและไอกรด
- ติดตั้งระบบ Pre-filter เพื่อดักจับละอองสารเคมีก่อนเข้าสู่ “Bag Filter” หลัก
- ออกแบบระบบระบายความชื้นเพื่อป้องกันการอุดตันของถุงกรอง
- การออกแบบระบบ Bag Filter ให้สอดคล้องกับมาตรฐานห้องสะอาด
- ใช้ถุงกรองประสิทธิภาพสูง (HEPA หรือ ULPA) เพื่อให้ได้คุณภาพอากาศตามมาตรฐานห้องสะอาด
- ออกแบบระบบให้สามารถควบคุมความดันและอัตราการไหลของอากาศได้อย่างแม่นยำ
- ติดตั้งระบบตรวจวัดอนุภาคแบบต่อเนื่องเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ
การควบคุมประสิทธิภาพและการบำรุงรักษาระบบ “Bag Filter”
การรักษาประสิทธิภาพของระบบ “Bag Filter” ในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความสะอาดสูง ดังนี้
- การติดตั้งระบบตรวจวัดและควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติ
- ติดตั้งเซนเซอร์วัดความดันตกคร่อมถุงกรองเพื่อตรวจสอบการอุดตัน
- ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการทำความสะอาดถุงกรอง (เช่น ระบบ Pulse-jet)
- ติดตั้งระบบตรวจวัดปริมาณฝุ่นในอากาศที่ผ่านการกรองแบบต่อเนื่อง
- แผนการทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงกรอง
- กำหนดตารางการทำความสะอาดถุงกรองตามข้อมูลการใช้งานจริง
- วางแผนการเปลี่ยนถุงกรองล่วงหน้าเพื่อป้องกันการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต
- จัดทำขั้นตอนการทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงกรองที่ป้องกันการปนเปื้อน
- การจัดการกับฝุ่นที่ถูกดักจับ
- แยกประเภทของฝุ่นที่ดักจับได้เพื่อการกำจัดหรือรีไซเคิลอย่างเหมาะสม
- ใช้ระบบจัดเก็บฝุ่นแบบปิดเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจาย
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมในการกำจัดฝุ่นที่อาจมีสารอันตราย
จะเห็นได้ว่า การประยุกต์ใช้ระบบ “Bag Filter” ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสุขภาพของพนักงานและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพการผลิตด้วย การเลือกระบบที่เหมาะสม การออกแบบที่ตรงตามความต้องการเฉพาะ และการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สามารถควบคุมมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน